วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความยากที่จะอุบัติขึ้นบนโลก


南无阿弥陀佛


尘世间有很多人常念"南无阿弥陀佛 却不知南无阿弥陀佛"是什么意思,甚至有些老人虔诚地念了几十年 南无阿弥陀佛 竟然也不知"南无阿弥陀佛"是什么? 口念南无阿弥陀佛 而不知"南无阿弥陀佛"表示什么可称得上迷信 而那些自己不懂(南无阿弥陀佛) 是什么 就说别人念"南无阿弥陀佛是迷信的人同样也是迷信 其本质是相同的--盲目相信 佛"是指觉悟者。有觉悟的人就是佛。你有了觉悟,你就是佛 因此 佛不在天上,佛在人间 佛在心中 佛不是迷信者的化身,而是觉悟者的称号 阿弥陀佛是一个有无量功德的觉悟者"的名字,就像我们有自己的名字一样,是一个符


号 一个为了区别于他人而起的代号 代码 阿弥陀佛,又简称"阿弥陀"或"阿弥"均指有无量功德的觉悟者--如来 也即"释迦牟尼 因而 阿弥陀佛又称阿弥陀如来 如同人有别称一样 阿弥陀佛共有十三个称号 其中有十二种与"光"方面有关 一种与寿命方面有关,前者总称"无量光佛 后者称 无量寿佛 南无 是归向于 礼敬于之意 南无阿弥陀佛的通俗语解释是:向阿弥陀佛致敬(向如来佛致敬)! 然而,南无阿弥陀佛除了狭义的解释之外,在广义上是指:向一切有觉悟的人致敬。 觉悟者的标准是什么呢?有低标准和高标准 低标准是"度己 即从自己做起,断恶修善 遵纪守法 淡薄名利 积功累德 清净放下,随缘(缘起、缘聚、缘散、缘灭 诸法从缘生 还从


因缘灭")而不攀缘 高标准是"度己度人",除了自己修持成为觉悟者之外 还要帮助别人成为觉悟者 广结善缘 普度众生 弘扬佛法慈善布施(布施 是指"舍 俗话说"舍得 是一种因果关系 有舍才有得 先要诚意为别人 才能得到别人为自己) 然而 无论"度己"还是"度人 前提都要先做到"看破、放下 放下 看破 什么叫看破?看破就是要淡化世事境缘的"无常"(没有亘古不变的东西 一切都在瞬息万变之中 如梦幻泡影,如露亦如电 假有(因缘而合 因缘而分所表现出来的"存在"及"存在者")理解其虚幻变化规律--无常中的有常。既不沉迷于 有"(只是"妙有"偶有 像量子力学的"超弦一样 是一种临时的组合)也不执着于"无"(万事万物均无中生有、有生于无,真空不空,有归于无)。无"色"(色指物质、存在)但不"空(非有无)虽 空 但有"色 一分为三"曰 空 有 中 和其相联"则"三为一体 不固守色空 不粘着色空,洞明"诸相非相 不拘泥于两边而立于中道 行于中道 放下 首先要认识佛家常说的万般将不去唯有业随身 进而提高到"万般将不去 修业亦离身"的境

สุขาวดีพุทธเกษตร

พระอมิตาภะตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเสด็จ สำราญพระอิริยาบถ อยู่ในเขตวนารามของท่านอนาถปิณฑกะ ใกล้กรุงสา วัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมูใหญ่ คือภิกษุ 1,250 รูป ผู้แตกฉานในอภิญญา เป็นพระเถระมหาสาวกล้วนแต่พระอรหันต์เจ้า เช่น พระศาริบุตรเถระ พระมหาเมาท คัลยายนะ พระมหากาศยปะ พระมหาศุทธิปัถกะ พระนันทะ พระอานันทะ พรารหุละ พระความปติ พระภรัทวาชะ พระกาโลทยิน พระวักกุละและพระอนิรุทธะ กับพระสาวกอื่นอีกมากหลาย ตลอดจนพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นอันมาก เช่น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระกุมารภูติโพธิสัตว์ พระอชิตโพธิสัตว์ พระคันธหัสดีโพธิสัตว์ พระนิตโยทยุกตโพธิสัตว์และพระอนิกษิปตธุรโพธิสัตว์ กับพระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ อื่นอีกมากมายและ ท้าวศักระจอมเทพ ท้าวสหัมบดีพรหม กับเทพบุตรอื่น ๆ เป็นอันมาก นับจำนวนแสนนยุตะ (1นยุต100000โกฏิ) ณ สถานที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรผู้มีอายุว่า ดูก่อนศาริบุตร ในทิศภาคเบื้องตะวันตก นับแต่พุทธเกษตรนี้ไปแสนโกฏิพุทธเกษตร มีโลกธาตุหนึ่ง นามว่า สุขาวดี อันเป็นที่ประทับอยู่แห่งพระอมิตาภะตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์และแสดงธรรมอยู่ในกาลบัดนี้ ศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤาโลกธาตุโลกธาตุนั้นจึงได้นามว่าสุขาวดี. ศาริบุตรเอย สัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุนั้น ไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจเลย มีแต่เหตุแห่งสุขอันหาประมาณมิได้อย่างเดียว เหตุดังนั้น โลกธาตุนั้นจึงได้นามว่าสุขาวดี ดู

ก่อนศาริบุตรอนึ่ง.สุขาวดีโลกธาตุประดับประดาแวดล้อมไปด้วยกำแพง 7 ชั้น ต้นตาล 7 แถว และข่ายกะดึงทั้งหลายงดงามน่าดูด้วยรัตนะ 4 ประการคือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้. ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง สุขาวดีโลกธาตุมีสระโบกขรณีทั้งหลายอันแล้วด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิม มรกต

และบุศราคัม เปี่ยมด้วยอัษฎางคิกวารี(น้ำประกอบด้วยองค์แปด) มีท่าน้ำอันเรียบราบพอที่กา(จะก้มลง)ดื่มได้ รายระยับไปด้วย ทรายทองและมีบันได 4 บันไดโดยรอบทั้ง 4 ทิศ งดงามน่าดูด้วยรัตนะ 4 ประการ คือทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก มีรัตนพฤกษ์อันงดงามน่าดูด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิบ มรกตและบุศราคัม ขึ้นอยู่รายรอบสระโบกขรณีเหล่านั้น มีดอกประทุมอันมีธรรมชาติ สี แสง ความน่าดู เขียว เหลือง แดง ขาวและสลับสีใหญ่ประมาณเท่ากงเกวียน ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้ดูก่อนศาริบุตรอนึ่งในพุทธเกษตรนั้น มีหงส์ นกกะเรียน นกยูง ประชุมกันขับประสานเสียงของตน คืนละ 3 ครั้ง วันละ 3 ครั้ง เสียงของปวงนกที่ประสานกันนั้นย่อมเปล่งประกาศอินทรีย์(ธรรมอันเป็น

ใหญ่)พละ(ธรรมเป็นกำลัง)และโพชฌงค์(ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้) มนุษย์ทั้งหลายในพุทธเกษตรนั้น ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมเกิดมนสิการในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดในกำเนิดดิรัจฉานกระนั้นหรือ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้นเลย ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤา ศาริบุตร แม้แต่ชื่อแห่งนรก กำเนิดดิรัจฉานและยมโลก ก็ไม่มีในพุทธเกษตรนั้น หมู่นกเหล่านั้น พระอมิตาภะยุคถาคตเจ้าทรงนิรมิตขึ้นให้เปล่งเสียงประกาศพระธรรมต่างหาก ศาริบุตร พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองค์คุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้ ดูก่อนศาริบุตรอนึ่งแถวต้นตาลและข่ายกระดึงทั้งหลาย

ในพุทธเกษตรนั้น เมื่อลมโชยมากระทบ ย่อมเปล่งเสียงไพเราะจับใจดุจเสียงทิพยดนตรีมีเครื่องประกอบแสงโกฏิ อันอารยชนบรรเลงแล้วมนุษย์ในพุทธเกษตรนั้น สดับเสียงนั้นแล้วย่อมพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังหานุสสติตั้งอยู่ในกาย ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้ ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤา พระตถาคตเจ้านั้นจึงได้พระนามว่า อมิตายุ ศาริบุตรเอย พระตถาคตเจ้าและมนุษย์เหล่านั้น มีประมาณแห่งอายุอันกำหนดนับมิได้. เหตุดังนั้น พระองค์จึงได้พระนามว่า อมิตายุ อนึ่ง.พระตถาคตเจ้านั้นตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้วได้ 10 กัลป์ ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤา

พระตถาคตเจ้านั้นจึงได้พระนามว่า อมิตาภะ รัศมีแห่งพระตถาคตเจ้านั้น(สว่างไป)ไม่ติดขัดในพุทธเกษตรทั้งปวง เหตุดังนั้น พระองค์จึงได้พระนามว่า อมิตาภะ อนึ่ง พระองหันตสาวกสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ของพระตถาคตเจ้านั้น หาประมาณมิได้ ไม่เป็นการง่ายที่จะกล่าวประมาณ ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้ ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ที่เกิดขึ้นในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเกี่ยวเนื่องอยู่เพียงชาติเดียว การนับประมาณพระโพธิสัตว์เหล่านั้น มิใช่ทำได้โดยง่าย นอกจากจะนับว่า อประไมย(ประมาณไม่ได้) องสไขย(นับไม่ได้) อนึ่งศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายควรตั้งประณิธาน(ที่จะไปเกิด)ในพุทธเกษตรนั้นข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าที่ไหนเล่า การได้อยู่ร่วมกันสัตบุรุษเห็นปานนั้นจึงจะมีได้(เหมือนในสุขาวดีนี้)ศาริบุตร สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า มิใช่ด้วยกุศลมูลเพียงเล็กน้อย ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไร ๆ จักได้สดับพระนามของพระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น ครั้นสดับแล้วจักมนสิการ

จักมีจิตต์ไม่ซัดส่าย มนสิการตลอดราตรีหนึ่ง หรือ 2 ราตรี หรือ 3 4 5 6 7 ราตรี เมื่อกุลบุตรหรือกุลธิดานั้นจักสิ้นชีพ พระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น อันสาวกสงฆ์แวดล้อมมีหมู่พระโพธิสัตว์ตามหลัง จักปรากฏเบื้องหน้าเขาผู้กำลังสิ้นชีพ เขาย่อม มีจิตต์สงบสิ้นชีพไป ครั้นสิ้นชีพแล้วก็จะไปเกิดในสุขาวดีโลกธาตุอันเป็นพุทธเกษตรของพระอมิตายุค ถาคตเจ้านั้นแล ศาริบุตรเอย เหตุดังนั้นแหละ เราเห็นอำนาจประโยชน์นี้ จึงกล่าวว่า กุลบุตรหรือกุลธิดาพึงตั้งจิตตประณิธาน (ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้นโดยเคารพ ดูก่อนศาริบุตร เราประกาศเรื่องโลกธาตุนั้นอยู่ในบัดนี้ฉันใด พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศบูรพาเป้นต้นว่า พระอักโษภยตถาคต พระเมรุธวัชตถาคต พระมหาเมรุธวัชตถาคต พระเมรุประภาสตถาคต พระมัญชุธวัชตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศบูรพา อุปมาด้วยเกล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้นแล ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองค์ว่า ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจิตไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง ดูก่อนศาริบุตร
พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศทักษิณเป็นต้นว่า พระจันทรสูรยประทีปตถาคต พระยศประภะตถาคต พระมหารุจิสกันธตถาคต พระเมรุประทีปตถาคต พระอนันตวีรยตถาคตกับพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายในทิศทักษิณ อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้นต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองค์ว่า ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศประจิมเป็นต้นว่า พระอมิตายุคถาคต พระอมิตสกันธตถาคต พระอมิตธวัชตถาคต พระมหาประภะตถาคต พระมหารัตนเกตุตถาคต พระศุทธรัศมิประภะตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในประจิม อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองค์ว่า ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น